เมนู

ทริปเขาค้อ 3 วัน 2 วัน เที่ยวสบาย ชิลๆ นอนฟอกปอด กอดธรรมชาติ

วันที่ 1 ตื่นเต้นๆ

สำหรับทริป 3 วัน 2 คืน วันแรกเราแนะนำว่าให้รีบออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเลยนะคะ และถ้าไม่เกินสัก 9.00 น. ยิ่งดีมากๆเลย
โดยระหว่างการเดินทางเราก็จะได้พบกับบรรยากาศของวิวข้างทางในแต่ละจังหวัด พบเจอกับแสงแดด พร้อมเม็ดฝนบ้างสลับกันไปมา
นั่งรถไปสักพักท้องก็เริ่มหิว ได้เวลาแวะหาอาหารอร่อยๆ กินเติมเต็มพลังงานกันที่ร้าน “ข้าวแกงบ้านสวน” จ.พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งที่นี่มีอาหารหลากหลายประเภทให้เลือกกินกันอย่างเต็มที่ เมื่อท้องอิ่มก็มุ่งหน้าไปเขาค้อกันต่อได้เล้ยยย
เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมงก็เข้าสู่ดินแดนเพชรบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย และที่แรกที่เราจะพาทุกคนไปเช็กอิน คือ
“วัดธรรมยาน” วัดสวยที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งประติมากรรม พร้อมรูปปั้นองค์พญานาคขนาดใหญ่ที่มีความอ่อนช้อยสวยงามและดูสมจริง
ที่สำคัญยังสามารถพ่นน้ำได้อีกด้วย เรียกได้ว่าแค่ที่แรกก็อิ่มบุญ พร้อมมีรูปสวยๆ กลับไปอวดโซเชียลกันเพียบ 
สบายใจกับการไหว้พระทำบุญแล้วก็เดินทางไปสูดอากาศ ฟอกปอด เพิ่มโอโซนให้ร่างกายกันต่อที่ “น้ำตกธารทิพย์”
น้ำตกชั้นเดียว สูงประมาณ 26 เมตร กว้างราว 30 เมตร มีน้ำไหลตลอดทั้งปี สวยงามตระการตา แถมเรายังได้เดินผจญภัยเข้าไปประมาณ 400 เมตร
ก่อนจะเห็นน้ำตกใสๆ สมคำร่ำลืมอีกด้วยนะ บอกเลยว่าเดินมาไกลแค่ไหน
แต่การได้เห็นธรรมชาติเหมือนสวรรค์รังสรรค์มาให้มันทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย
ร่างกายเริ่มเหนื่อยจากการเดินทาง ก็ได้เวลาไปเช็กอินที่พักสวย บรรยากาศดี ที่ “ภูแก้วรีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ พาร์ค” กันแล้ว
และห้องที่เราจองไว้ก็คือ Forest Home หลังสีเขียวสำหรับ 4-5 ท่าน บ้านหลังใหญ่มาก ภายในห้องสะอาดสุดๆ ที่สำคัญมีแอร์บริเวณห้องนั่งเล่น
ไว้เม้าท์มอยกันตอนกลางคืนแบบกรุบๆอีกด้วย หลังจากชื่นชมกับห้องพักที่จองไว้แบบประทับใจ ก็ได้เวลาอันสมควรที่เราและเพื่อนๆ
เปลี่ยนชุดใหม่พร้อมออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติกที่ “ภูแก้วพีค” กันแล้วค่ะ เค้าว่ากันว่าที่นี่เป็นแลนมาร์กแห่งใหม่ของรีสอร์ทเลยก็ว่าได้
เพราะทุกคนจะได้เห็นวิวของทิวเขาแบบพาโนรามา 180 องศา พร้อมแสงสีทองของพระอาทิตย์ที่โบกมือลาลับขอบฟ้าไปแบบโรแมนติกสุดๆ
นี่ขนาดเรามากับเพื่อนยังได้ฟีลลิ่งนี้เลยอะ แล้วลองคิดดูว่า ถ้าได้มีโอกาสมากับแฟนจะสวีทหวานกันขนาดไหน เมื่อพระอาทิตย์ได้เวลาเข้านอน
ส่วนเรานั้นก็ได้เวลาชาร์จร่างกายแล้วเช่นเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นเราขอตัวไปนอนเก็บอะดรีนาลีนให้กับร่างกาย พร้อมลุยในวันพรุ่งนี้ก่อนนะคะ

วันที่ 2 พร้อมลุยเต็มที่

หลังจากนอนเก็บแรง หลับฝันหวาน อาบน้ำแต่งตัวจัดเต็มเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาของอาหารเช้าที่ทางภูแก้วคอทเทจเตรียมไว้ให้ บอกเลยว่า
อาหารอร่อย บรรยากาศดี จนทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่อิ่มแปร้สุดๆ เมื่อท้องพร้อมก็ได้เวลาสตาร์ทเครื่องออกไปล่าหมอกกันต่อที่ “พิพิธภัณฑ์อาวุธฐานอิทธิ”
จุดเช็กอินที่เห็นหมอกละลานตาบริเวณรอบๆ เต็มไปหมด นอกจากนี้ยังเคยเป็นฐานสําคัญทางยุทธศาสตร์ในอดีต และปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ
จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถัง และอาวุธที่ใช้สู้รบกันบนเขาค้ออีกด้วย

ถ่ายรูปกันอย่างเต็มที่ก็พร้อมออกเดินทางกันต่อ ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมายที่ชื่อว่า “อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ”
สำหรับสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ทหาร ตำรวจ ทหารผู้พลีชีพในการสู้รบเพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ
จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ และความเงียบสงบ อยากพักผ่อนหย่อนใจของจริง แนะนำให้มาเช็กอินค่ะ
อิ่มเอมกับความเงียบสงบกันไปเต็มที่ ล้อก็เตรียมหมุนทันทีไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่า “พระตำหนักเขาค้อ”
จุดสูงสุดของเขาค้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอากาศดีๆ ให้เราได้สัมผัส มีสายลมวิ่งวนผ่านทิวสนต้นสีเขียวเสียงดังเสนาะหู รู้สึกได้ถึงความสดชื่นสุดๆ
ที่สำคัญทัศนียภาพมหัศจรรย์ตรงหน้า เปรียบเสมือนกับ “สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทย”
เมื่อมองไกลออกไปได้รับความสบายใจกลับมาอย่างเต็มพลังเชียวแหละ

แพลนเที่ยวของเรายังไม่หยุดอยู่แค่นี้ เพราะสถานที่ต่อไปเราจะพาทุกคนไปยังแลนมาร์กสำคัญ กับวิวหลักล้านอย่าง “เขาตะเคียนโง๊ะ”
จุดชมวิวบนยอดเขาที่สามารถชมวิวได้รอบตัว 360 องศา มองไกลออกไปสุดลูกหูลูกพร้อมกับทิวทัศน์ตรงหน้าช่างสำราญใจ
และถ้าใครได้มาช่วงเวลาเช้าๆเป็นต้องกรี๊ด เพราะน้องหมอกพร้อมออกมาให้เชยชมกันแบบพีคๆเลยทีเดียว

สดชื่นกับภาพบรรยากาศ พร้อมอากาศเย็นๆเป็นที่เรียบร้อย จุดหมายปลายทางต่อไปของเรา คือการได้ไปนมัสการ

“พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” เจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์

ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนได้สักการะบูชา แม้สถานที่แห่งนี้อาจจะไม่ได้โด่งดังมากเท่ากับที่อื่นๆ

แต่รับรองถึงความสวยงามและความศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับแน่นอนค่ะ

กรี๊ดดดดเที่ยวเพลินจนลืมว่าหิวกันเลยทีเดียว มาถึงเขาค้อทั้งที เราไม่พลาดที่พาทุกคนไปกินของดีเมืองเพชรบูรณ์อย่าง “ขนมจีนเส้นสด 7 สี” กันค่ะ

ที่นี่มีน้ำยารสชาติเข้มข้นหลากหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำยากะทิ น้ำยาป่า น้ำเงี้ยว และน้ำยาถั่ว แต่ละแบบก็มีกิมมิค พร้อมรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

ยิ่งได้กินแกล้มกับผักสดนะ อื้อหืออมันดีแบบดีเกินคาดมากจริงๆ หนังท้องอิ่ม แต่หนังตาครั้งนี้ยังไม่หย่อนนะคะ เพราะปลายทางต่อไปจะพาทุกคนไปย้อนวัย

ดูเจ้าไดโนเสาร์กันที่ “อะเมซิ่ง ไดโนเสาร์ เขาค้อ” สวนสนุกที่มีไดโนเสาร์เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตจริงๆ มากกว่า 10 สายพันธุ์

ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น สวยงาม และอากาศที่เย็นสบายเรียกได้ว่า แชะรูปกับน้องๆ มาเต็มกล้องกันเลยทีเดียว 

หลังจากสนุกสนานกับวัยเด็กเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางไปยัง “ไร่ GB เขาค้อ”

สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งชมวิวทุ่งกังหันลมท่ามกลางสวนดอกไม้เมืองหนาว โดยมีค่าบริการสำหรับการเข้าชมในไร่คนละ 10 บาทเท่านั้น

และเมื่อเราก้าวเท้าเข้าไปในไร่แล้วเงิน 10 บาทที่เสียไปนั้นคุ้มค่าเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับวิวตรงหน้า

ที่สำคัญไม่ว่าจะถ่ายภาพออกมาในมุมไหนก็ดูสวยงามไปเสียหมด

เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่เราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้มาสัมผัสจริงๆน้าา  

แวะไร่ “ไร่ GB เขาค้อ” เสร็จ ถัดมาอีกไม่ไกลก็จะเป็นในส่วนของ “ไร่คิงคอง เขาค้อ” โลเคชั่นถ่ายรูปแห่งใหม่น่าไปเช็กอินกันต่อ

บอกเลยว่าสาวๆสายโซเชียลต้องเตรียมชุด เตรียมพร๊อบมาให้แน่นที่สุด เพราะที่นี่มุมถ่ายรูปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ่นฟางรูปคิงคองหรือสัตว์ต่างๆ

ซึ่งถือเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่ อีกทั้งยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ คู่กับวิวงามๆ ให้ได้มาเก็บภาพความทรงจำอีกมากมาย ปล. ค่าเข้าต่อคนประมาณ 40 บาทนะจ๊ะ 

เช็กอินกับสถานที่ท่องเที่ยวกันไปหลากหลายจุด ได้เวลาพาร่างกายไปตะลุยกับความมันส์ของกิจกรรมแอดเวนเจอร์ในรีสอร์ทที่เราพักกันบ้างดีกว่า

ซึ่งกิจกรรมของที่นี่ก็มีหลากหลายให้เลือกเล่นกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่กิจกรรมชิลๆ ไปจนถึงกิจกรรมหวาดเสียว แต่สำหรับกิจกรรมที่เราชอบที่สุดคงต้องยกให้กับ

High Flying เอาจริงป่ะเรานี่กรี๊ดแทบปรอทแตกเพราะมันเสียวมากกก ก.ล้านตัววเลย เอาเป็นว่าหากใครที่เป็นสายแอดเวนเจอร์อยู่แล้ว

ต้องห้ามพลาดกับกิจกรรมสนุกๆแบบนี้ที่  ภูแก้ว แอดเวนเจอร์ พาร์ค นะคะ 

สนุกสุดเหวี่ยง เสียงก็แหบพร่าเพราะกรี๊ดจนหมดพลังสุดๆ เย็นๆ แบบนี้ก็ได้เวลากินอีกแล้วจ้าาา

โดยมื้อนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารภูแก้วคอทเทจ และเมนูที่เราจัดกันจุกๆ กับเพื่อน คือ ชาบูภูแก้ว แกเอ้ยยยย มันอร่อยมากก อร่อยสมคำร่ำลืม

น้ำซุปดีมาก ซดร้อนๆ พร้อมอากาศเย็นๆ พูดได้คำเดียวว่าฟินตะบะแตกกันไปเลย เมื่อหนังท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มจะปิด

วันที่ 2 ของเราก็ต้องขอตัวไปนอนเก็บแรงกันก่อน เจอกันวันพรุ่งนี้ก่อนกลับกรุงกันต่อนะคะ

วันที่ 3 เตรียมตัวกลับบ้านเรา

วันสุดท้ายทั้งทีจะให้นอนตื่นสายๆ เหมือนอยู่บ้านคงไม่ได้ เพราะเช้าวันนี้เราจะพาทุกคนมาดูหมอกหนาลอยฟู่ฟ่องเต็มไปมาอย่างกับเมฆขาวที่

“ภูแก้วพีค” กันค่ะ เอาจริงๆ ยอมรับเลยว่าตื่นเช้าขนาดนี้อาการของร่างกาย คือง่วงมากเวอร์ แต่พอได้พาร่างกายมาเผชิญกับอากาศเย็นฟินๆ

พร้อมตาที่เปิดรับแสงเห็นภาพตรงหน้าบนภูแก้วพีคทำให้เราตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด บรรยากาศโดยรอบเย็นมาก แม้ฝนจะตกประปราย

แต่น้องหมอกเค้ายอมออกมาให้เราได้แชะภาพเป็นที่ระลึกเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ด้วยแหละ

วันสุดท้ายของการได้มาพักผ่อนที่เขาค้อ ก่อนกลับเราจะพาทุกคนไปชมทะเลหมอกกันก่อนที่  “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว”

วัดที่รายล้อมไปด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อนกันไปมา มีความงดงามของเจดีย์ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่างๆ ดูแปลกตา

รวมทั้งองค์พระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานเรียงกัน 5 องค์ มองเห็นโดดเด่นมาแต่ไกล ยิ่งเรามาช่วงนี้ทะเลหมอกหนามากๆ

สดชื่นสบายใจ อิ่มบุญกันแบบเต็มที่ทั้ง 3 วัน 

ปิดท้ายกับจุดเช็กอินที่เราจะพาทุกคนไปเสพสุขก่อนกลับบ้าน คือ ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทยที่

“อุทยานแห่งชาติ ทุ่งแสลงหลวง” อยากบอกว่าบรรยากาศช่วงหน้าฝนแบบนี้ดีมากๆ ร่มรื่นเย็นสบาย มองเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

รูปที่ได้กลับมาคือเมมเต็มกล้องกันไปรัวๆ

เรียกได้ว่าทริปนี้สมบูรณ์แบบมากๆเลยค่ะทุกคน ทั้งได้นอนฟอกปอด กอดธรรมชาติ เติมเต็มพลังงานชีวิตให้กลับไปสู้รบกับงานได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง

เอาเป็นว่าใครสนใจอยากไปเที่ยวเขาค้อตามรอยเราล่ะก็รีบแพ็กกระเป๋า แท็กเพื่อน พ้อง น้องพี่ คนรัก ครอบครัวไปกอดความสุขใกล้ๆ กรุงกันตอนนี้เลยค่าาา

error: Content is protected !!